วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2554

บาปเพราะปาก


              "อยู่คนเดียวให้ระวังจิต อยู่กับมวลมิตรต้องระวังทั้งจิตและวาจา"
"จิต" ถึงแม้จะนั่งอยู่เฉยๆ คนเดียว จิตก็คิดดีคิดชั่วได้ ธรรมะนั้นมีความละเอียดอ่อนมาก แม้แต่จิตปรุงแต่งไปในทางชั่ว ก็มิควรได้กระทำ คิดดีทำให้จิตแจ่มใสเบิกบาน ถือเป็นบุญของจิตที่เกิดขึ้น เพราะจิตมุ่งเดินไปในแนวทางบริสุทธิ์ ความบริสุทธิ์เป็นความสุข และความบริสุทธิ์เป็นบุญ
หากจิตคิดไม่ดี คือไม่ระวังจิต กระแสจิตที่นำทางไปในทางไม่ดีนั้น จิตเดินทางเข้าไปในประตูกิเลส จิตเริ่มเศร้าหมองอย่างไม่รู้ตัว
ตัวบุญกับตัวบาป อยู่ระหว่างเส้นกลางเส้นเดียวกัน ถ้าไม่สังเกตหรือไม่พิจารณาให้ดี อาจมองไม่เห็นเส้นกั้นกลางระหว่างกันได้ เพราะเป็นเส้นบางและเล็กมาก อยู่ที่ตัว "คิด" ตัวเดียวเท่านั้น จิตมันจะข้ามไปทางไหน บุญหรือบาป
หญิงขายดอกไม้คนหนึ่ง ขายไปๆ คนมาซื้อมากเข้า เขาเกิดความโลภขึ้นมาทันที อยากจะขายให้แพงขึ้นหวังจะได้เงินมากขึ้น พอตัวโลภเกิดมันเป็นกิเลสขึ้นมาบังความดีงามทันที จากนั้นเขาก็ขายลดลง
เขาคิดใหม่ ขายได้เท่าไหร่ก็เท่านั้นแหละ พอเลี้ยงชีพไปก็แล้วกัน ต่อไปนี้เราจะขายดอกไม้และพวงมาลัย เพื่อจะให้คนมีซื้อไปบูชาพระ!
จิตเขาเกิดกุศลเกิดบุญ เขาพยายามหาดอกไม้ดี บรรจงร้อยพวงมาลัยให้สวยงาม ดอกไม้ดอกไหนไม่งามหรือมีตำหนิก็ดึงออกและทิ้งไป ขายก็ราคาพอสมควร เขานึกถึงพระที่จะได้รับดอกไม้เขาไปบูชาแต่ละวัน
นี่แหละความคิดดีที่เกิดขึ้น ตัวเขาก็เป็นสุขตลอดมา
อยู่กับมวลมิตรต้องระวังทั้งจิตและวาจา วาจาคือลมปาก พูดบุญพูดบาปก็อยู่ตรงคำ
พูดที่หลุดออกมา คนจำนวนไม่น้อยมักไม้ระวังวาจา เพราะไปคิดว่าปากของเราจะพูดอะไรก็ได้ นั่นคิดผิด! ทางโลกถ้าพูดไปล่วงเกินเขาก็ยังมีความผิด ยิ่งทางธรรมยิ่งหนักกว่า ถ้าใครไม่ระมัดระวัง พระพุทธองค์จึงสอนไว้ให้สำรวมวาจา!
เมื่อพระพุทธองค์เสด็จดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพานไปแล้ว มีพระภิกษุสงฆ์กลุ่มหนึ่งในโรหนชนบท ซึ่งมีความประสงค์จะเดินทางไปนมัสการต้นพระศรีมหาโพธิ์ สถานที่ตรัสรู้ ในขณะที่เดินทางไปนั้น เกิดหลงทางเข้าไปในป่าใหญ่และไม่สามารถจะหาทางออกได้
วนเวียนอยู่ในป่านั้นหลายวัน อาหารก็ไม่ได้ฉัน รู้สึกหิวโหยและลำบากมาก เดินวนไปเวียนมาอยู่นาน ในที่สุดก็ทะลุออกไปยังทุ่งกว้างของป่าใหญ่นั้น มองไปกลางทุ่ง
ทันใดนั้น เหล่าภิกษุก็มองเห็นชายร่างใหญ่โตคล้ายมนุษย์คนหนึ่ง ซึ่งดูแล้วรูปร่างหน้าตาไม่ค่อยเหมือนคนธรรมดาทั่วๆ ไป กำลังเทียมโคตัวใหญ่ 4 ตัวเข้าที่คันไถเหล็ก แล้วเดินไถนาอยู่กลางทุ่งคนเดียว ความดีใจจะได้รู้ทางออกจากป่า และจะได้รู้ว่าทางไปยังต้นพระศรีมหาโพธิ์ไปทางด้านไหนกันแน่ จึงเดินตรงเข้าไปยังเขาผู้นั้นและเอ่ยปากถามว่า
"นี่อุบาสกทางจะออกจากป่านี้ไปทางไหน พวกเราหลงอยู่ในป่าใหญ่นี้มาครบ 7 วันแล้ว รู้สึกเหนื่อยยากลำบากมาก"
"อุบาสกช่วยบอกทางให้หน่อยเถิด"
"ฮึ! อะไรนะ" เขาพูดและมองหน้าภิกษุเหล่านั้น
"พระคุณเจ้า พวกท่านหลงในป่าใหญ่ลำบากแค่ 7 วันเท่านั้น ส่วนข้าพเจ้านี่สิ หลงไถนาอยู่ที่นี่ทั้งกลางวันและกลางคืนมานานนับได้ 1 พุทธันดรแล้ว ลำบากทุกข์มากกว่าพระคุณเจ้าไม่รู้เท่าไหร่มานาน" เขาพูดด้วยความอึดอัดใจ
"อะไร..อุบาสก! คนไถนาทั้งกลางวันกลางคืนมา 1 พุทธันดรมีที่ไหน? ทำไมท่านจึงมาพูดเล่นกับอาตมาอีก"
"ข้าพเจ้าพูดจริง!" เขายืนยัน
"ขอพระคุณเจ้าลองพิจารณาดูข้าพเจ้าให้ดีซิ ข้าพเจ้าเป็นคนหรือเป็นอะไร" เขาพูด
"ท่านเป็นอะไร? ดูแล้วท่านเหมือนไม่ใช่คนแน่ๆ แล้วท่านเป็นอะไรกันแน่" ภิกษุรีบถาม
"เปรต! ข้าพเจ้าเป็นเปรต เปรตที่ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างหนัก
ต้องไถนาอยู่อย่างนี้ จะวางไถก็ไม่ได้ เดินไถอยู่อย่างนี้ 1 พุทธันดรแล้ว" เปรตตอบ
(พุทธันดรแปลว่า ช่วงระหว่างพระพุทธเจ้า คือ ช่วงระยะเวลาไม่มีพระพุทธเจ้า ตัวอย่างขณะนี้พระศาสนาของสิทธัตถพุทธเจ้ายังไม่สิ้นไป จึงถือว่ายังมีพระพุทธเจ้าและยังไม่เป็นพุทธันดร ต่อเมื่อพระพุทธศาสนาของพระสิทธัตถพุทธเจ้าสิ้นแล้ว และพระเมตเตยยะยังไม่เสด็จอุบัติมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ช่วงนั้นจึงจะเรียกว่า "พุทธันดร")
"ท่านได้ทำกรรมอะไรไว้ ลองเล่าให้พวกเราได้ฟังบ้างก็จะเป็นการดี"
"ก็ไม่มีอะไรหรอก" พูดแบบสะบัดๆ
"ข้าพเจ้าทำบาปด้วยปาก! คือเมื่อก่อนสมัยศาสนาพระกัสสปพระพุทธเจ้านั้น ข้าพเจ้าเป็นชาวนา ข้าพเจ้าทำบาปด้วยปาก ความจริงก็ไม่มากมายอะไรเลย แต่ทำไมจึงต้องเป็นเปรตอย่างนี้ก็ไม่รู้"
"ทำบาปด้วยปาก ทำอย่างไร ลองเล่ามาซิ" ภิกษุเหล่านั้นรีบถาม
สมัยที่พระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จอุบัติตรัสรู้ในโลกนั้น ข้าพเจ้ามีอาชีพทำนา วันหนึ่งเพื่อนบ้านทั้งหลายเขากันไปทำบุญและทำการสักการบูชาแด่องค์สมเด็จพระกัสสปพุทธเจ้า คนเหล่านั้นเขามาชวนข้าพเจ้าให้ไปร่วมทำบุญด้วย ข้าพเจ้าเห็นว่า การไปทำบุญแก่สมเด็จพระกัสสปพุทธเจ้านั้นเป็นการเสียประโยชน์ เสียเวลาทำมาหากิน สู้ไปไถนาไม่ได้ เลยตอบเพื่อนบ้านเหล่านั้นไปว่า
"ไม่ไปหรอก เสียเวลาไถนา"
พวกเขาก็บอกว่า การไปทำบุญกับสมเด็จพระกัสสปพุทธเจ้า ดีกว่าการไถนาเป็นไหนๆ
"พระกัสสปพุทธเจ้าวิเศษอย่างไร สมเด็จพระกัสสปพุทธเจ้าท่านสามารถที่จะไถนาอย่างเรานี้ได้หรือ?" ที่พูดออกไปเพราะตัดความรำคาญ
คนเหล่านั้นตกใจ เขารีบช่วยกันสดุดีคุณแห่งสมเด็จพระพุทธเจ้า และก็ตักเตือนไม่ให้ข้าพเจ้าพูดเช่นนั้น และพรรณนาโทษแห่งการดูหมิ่นพระพุทธเจ้าจนข้าพเจ้าหมั่นไส้ เลยพูดออกไปอีก!
"พวกแกทั้งหลายอย่ามาสาธยายให้หนวกหูเราเลย เอาละ เป็นอันว่าพระกัสสปะวิเศษจริง เราตั้งใจไว้แล้วว่า ถ้าพระกัสสปะจะไม่ไถนาให้เราได้ เราก็จะไม่ไป ไม่ทำการสักการบูชา"
"หากพระกัสสปพุทธเจ้าสามารถมาจับหางไถแล้วไถนาได้เมื่อไหร่ เราจะไปทำบุญสักการบูชา"
"ด้วยปากชั่วของข้าพเจ้า พูดเพื่อจะประชดเพื่อนบ้านเหล่านั้นมากกว่า จะเป็นบาปกรรมอะไรก็ไม่เชิง แต่เหตุไฉนจึงดลบันดาลให้มาเกิดเป็นเปรตทนทุกข์ทรมานอยู่เช่นนี้"
บัดนี้ก็นานถึงหนึ่งพุทธันดรแล้ว ไม่รู้เมื่อไหร่จะสิ้นเวรกรรมนี้ไปสักที" เปรตพูดด้วยความรำพึง
หลังจากนั้น รู้สึกเขาจะปลงตกในชะตากรรมของเขา เมื่อหยุดนิ่งอยู่พักหนึ่ง จึงยกมือขึ้นชี้ทางแก่ภิกษุเหล่านั้น
"โน่นแน่ หนทางที่พระคุณเจ้าจะไป เอ่อ ก่อนจะจากไปข้าพเจ้าของสั่งความสักอย่างหนึ่ง ขอพระคุณเจ้าช่วยบอกเพื่อนมนุษย์ด้วยเถิด จงพยายามทำบุญทำทาน อย่าได้ประมาทใจในอกุศลกรรมความชั่วเพียงเล็กน้อย อย่าได้มีปากชั่วอย่างข้าพเจ้านี้"
ขอให้ถือเอาข้าพเจ้าเป็นตัวอย่าง เมื่อถึงคราวจะตายจะได้ไม่มาเกิดเป็นเปรต ให้เป็นที่น่าเวทนาอย่างข้าพเจ้านี้"
พระภิกษุสงฆ์ผู้หลงป่าเหล่านั้น ได้แต่สังเวชสลดใจในกรรมของเขาแล้วก็ลาเปรตผู้ชี้ทางให้ และก็ออกเดินทางไปจนถึงจุดหมายปลายทาง คือต้นพระศรีมหาโพธิ์ สถานที่ตรัสรู้แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผลแห่งปากตนที่ขาดการสำรวมพูดจาเรื่อยเปื่อยไป.

อ้างอิง

http://www.thaipost.net/tabloid/060311/35300
ขอขอบคุณ คุณประวิทย์ จำปาทอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น